งานทัวร์เป็นอาชีพที่เหมาะกับคนรักอิสระ ชอบเที่ยว ชอบค้นหาสิ่งใหม่ๆ
ที่สำคัญเป็นงานที่ท้าทาย หลายๆคนคงสงสัย แล้วแนนมาเกี่ยวกับทัวร์ได้ยังไง
เดี๋ยวเล่าให้ฟังค่ะ กว่าจะได้ความรู้นั้นมาแลกด้วยน้ำตาไปหลายปี๊บ
ความกดดัน ความที่เราไม่ได้เรียนสายนี้มา ทำให้ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว
ไหนจะสายตาดูถูกจากเจ้านายว่า คนอย่างเธอไม่มีทางทำได้
แล้วยังไงสุดท้าย เราก็เอาชนะสิ่งต่างๆเหล่านั้นมา
แต่ก็เลือกที่จะทิ้งเส้นทางสายนั้นไปพักใหญ่ เพื่อที่จะมาทำสิ่งที่รักมากกว่า
พอเรียนจบแม่ก็อยากให้ทำงานทัวร์ เลยฝากฝังกับพี่ที่รูจักให้เข้าทำงาน
กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง พูดชื่อไปหลายๆคนอาจรู้จัก
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะได้ เพราะจบคนละสาย แต่ทางบริษัทก็รับ
เข้าไปวันแรกไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากมาย
ถูกให้ไปอยู่กับสายงานใหม่ที่บริษัทเพิ่งเปิด
ตอนนั้นทัวร์อเมริกาแคนาดาในประเทศไทย ถือว่ามีคนทำน้อย
มีแค่ไม่กี่บริษัท ที่จะทำ เพระเป็ฯทัวร์ที่ออกยาก และค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูง
ตอนเข้าทำงานแรกๆ มีเพื่อนอีกคนที่เข้าทำงานพร้อมกัน
เพื่อนคนนั้น จบสายท่องเที่ยว เคยไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกามา ครึ่งปี
ความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก และก็ไม่แปลกที่เจ้านายจะไว้ใจเค้ามากกว่าเรา
แรกๆ มอบหมายงานบัญชีมาเลย ขอบอกว่าเกลียดมั๊ก..มาก
จะลาออกตั้งแต่ 1 อาทิตย์แรก แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร เพิ่งจบใหม่
ใบปิญญาก็ยังไม่ได้ เบื่อมาก วันๆไม่มีอะไรทำ
จนผ่านไป 1 เดือนกว่าๆ พี่ที่อยู่เป็นร่มโพธิ์ให้ ดันลาออก
เจ้านายหัวเสียมาก พาลยกใหญ่ บ่นสารพัด
เค้าเลยทิ้ง ตรงส่วนนี้ไป แต่ผู้จัดการซ่งเค้าพยายามให้เราติดต่อกับเอเจนทัวร์ต่างๆ
เพื่อเสนอขาย เพื่อแนะนำตัว ทำกับเพื่อน 2 คน
ก็เลยต้องเริ่มมาจับทำโปรแกรม นอกเหนือจากบัญชี ซึ่งก็ต้องทำด้วย
น้ำตาตกรอบ 2 เพราะ ต้องติดต่อกับ Local Tour ซึ่งอยู๋ที่อเมริกา
เค้าไม่สามารถพูดไทยได้เลย แล้วภาษาอังกฤษเราก็ห่วยมาก
แต่ฝรั่งเค้าดีมาก คอยสอนเราเรื่อยๆ ช่วงแรกๆ ยังไม่ต้องติดต่อกันมากนัก เพราะปัญหายังไม่เกิด
ลูกค้ายังน้อย จนผ่านไป 3 เดือน เพื่อนที่ทำมาด้วยกันลาออก
ไปทำงานที่บางกอกแอร์เวย์ (ตอนนั้นเครียดมาก) เหลือเราคนเดียวกับผู้จัดการ
แล้วจะรอดมั้ย ขนาด 3 คนยังแย่ นี่เหลือ 2
กับหน้าที่รับผิดชอบทำโปรแกรมทัวรื อเมริกา แคนาดา แอฟฟริกาใต้ และยุโรป
แล้วจะทำไงล่ะที่นี้ เซ็งมาก แต่ก็เอาน่า ท้าทายดี
หากจะทำอะไร พยายามดูน่าจะทำได้
เราขอเวลาเจ้านาย 6 เดือน แล้วที่นี่จะเป็นที่รู้จักของเอเจนย์อื่นๆ
ตังแต่นั้นทำงานอย่างเต็มที่ 1 วัน ทำตั้งแต่ส่งแฟกซ์
ทำโปรแกรม ขายด้วย แล้วก็บัญชีไปด้วย
แรกๆเพื่อนๆเอเจนย์ก็ยังไม่ค่อยเชื่อถือ เพระเป็นสายงานใหม่ของบริษัท
และการออกทัวร์อเมริกา ออกยากมาก ถ้าไม่ครบ 10 ออกถือว่าขาดทุน
ถ้าเกิน 10 กำไร ดูเหมือนง่าย การหาลูกค้า 10 คนใน 1 เดือน
แต่ทำจริงๆยากมาก แต่ก็เอาตัวรอดกันไปได้ทุกเดือน
ปัญหาสารพัด ทั้งเครื่อง Delay หรือปัญหาหนักๆคือ ไฟล์เต็มห้องเต็ม
โดยเฉพาะช่วงเทศกาล จนทัวร์สามารถออกได้ทุกเดือน ทั้งอเมริกาตะวันออก
อเมริกาตะวันตก จะมีกี่บริษัทที่มีทัวร์อเมริกาออกกันทุกเดือน
ผ่านไป 1 ปี เอเจนย์อื่นๆเริ่มเชื่อใจ และส่งลูกค้าให้เราเรื่อยๆ
ลืมอธิบาย ตรงส่วนที่ทำเป็นคล้ายๆบริษัทขายส่งทัวร์ คือจัดการด้สนโปรแกรมทัวร์
ดูการเดินทาง ประสางานทั้งหมด แล้วให้บริษัททัวร์อื่นช่วยขาย
และมาจอยกับเรา ทางเราจะมีให้ครบทุกอย่าง ตั้งแต่ไกด์
ถึงการดูแลบริการลูกค้า
ช่วงเทศกาลนี่ปวดหัวมาก จนเจ้านายหาบัญชี เพิ่มอีก 1 และนักศึกษาฝึกงานเพิ่มอีก 2
ความภูมิใจที่มากที่สุด คือในปี 2550 เทศกาลสงกานต์ มีลูกค้าออกทัวร์กับเรา
เฉพาะอเมริกาตะวันออก - ตก รวม 150 กว่าคน ซึ่งเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้มาก
เริ่มสนุกและท้าทายกับงานนี้มากขึ้น ตอนนั้นยังไม่คิดที่จะออกจากงาน
เพราะรู้สึกว่ามันก็โอเคนะ เลยได้เที่ยวฮอ่งกงฟรีๆกันถ้วนหน้า
ประมาณ 20 ชีวิตในบริษัท
แต่บางครั้งการทำงานกับคนนั้นก็เครียด ที่เล่ามามันดูเหมือนง่ายดาย
แต่กว่าจะได้มา ไม่มีใครเลยที่จะบอกว่าเราควรทำอย่างไร
บางครั้ง 6 โมงเช้า ใจยังตุ้มๆ ต่อมๆ เอ่อทัวร์จะมีปัญหามั้ย
ลูกค้าจะเป็นอะไรไประหว่างการเดินทางรึเปล่า สารพัด
ใช้เวลาคิดอยู่จะ 3 ปี ว่าคือสิ่งที่ไม่ชอบ
แต่จริงๆแล้วมันคือสิ่งที่เราพยายามหนีต่างหาก
การท่องเที่ยวคือกำไรชีวิต หากยังมีลมหายใจเที่ยวไปเถอะค่ะ
เพราะอย่างน้อยก็จะไม่ต้องเสียใจ
ว่ายังไม่เคยไป ยังไม่เคยเที่ยวเลย
เที่ยวกับครอบครัว กับคนที่รัก เก็บความทรงจำดีๆไว้ด้วยกัน
จะได้มีแรงใจกลับมาทำงานต่อ
อ่านแล้ว รู้สึกดีจัง....มีคำตอบให้กับตัวเองเลยอ่ะ คนเราแค่ได้ทำตามที่ใจรัก มันก็ happy เนอะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีดีนะจ๊ะ ถ้ามีโอกาสจะแวะไปอุดหนุนนะ